คู่เงิน หุ้น และอื่น ๆ [แนะนำเครื่องมือการซื้อขาย]

วัตถุประสงค์ของเครื่องมือในการเทรด

เครื่องมือในการเทรดช่วยให้นักเทรดและนักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับกลยุทธ์ทางการเงินที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเก็งกำไร การบริหารความเสี่ยง หรือการลงทุนระยะยาว

วัตถุประสงค์ของเครื่องมือในการเทรดมีดังนี้:

• การเก็งกำไร: นักเทรดมีเป้าหมายในการทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาของเครื่องมือการเทรด โดยคาดการณ์มูลค่าในอนาคต
• การป้องกันความเสี่ยง (Hedging): นักลงทุนมักใช้เครื่องมือการเทรดในการถือสถานะเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
• การลงทุน: นักลงทุนส่วนใหญ่นำเครื่องมือการเทรดมาใช้เพื่อการลงทุนระยะยาว และในบางกรณีเพื่อสร้างรายได้ประจำจากการถือครอง

ลักษณะของเครื่องมือในการเทรด

เครื่องมือในการเทรดจำเป็นต้องมีคุณสมบัติและลักษณะเฉพาะที่กำหนดพฤติกรรมของสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์เหล่านี้ในตลาดการเงิน ซึ่งลักษณะเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปตามประเภทของเครื่องมือ แต่มีบางคุณลักษณะสำคัญที่พบได้ทั่วไป ซึ่งต้องมั่นใจว่าสามารถดำเนินการซื้อขายได้จริงด้วยเครื่องมือเหล่านี้

คุณลักษณะสำคัญของเครื่องมือในการเทรดบางประการ ได้แก่:

ความสามารถในการซื้อขาย (Tradability)หมายถึงความสะดวกและความสามารถในการเข้าถึงของเครื่องมือการเทรด ซึ่งสามารถซื้อหรือขายในตลาดการเงินได้ โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเปิดให้บริการของตลาด เวลาซื้อขาย และการมีอยู่ของผู้ซื้อและผู้ขายในตลาด

เครื่องมือที่มีสภาพคล่องสูง เช่น คู่สกุลเงินหลักใน ตลาดคู่เงิน หรือหุ้นบลูชิพในตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำ มักมีการซื้อขายอย่างต่อเนื่องและมีความต้องการในตลาดสูงอยู่เสมอ ส่งผลให้เทรดเดอร์สามารถเปิดหรือปิดสถานะได้อย่างรวดเร็ว

ในทางตรงกันข้าม เครื่องมือที่มีสภาพคล่องต่ำ เช่น คู่สกุลเงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs) หรือสินค้าโภคภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม อาจมีผู้เข้าร่วมตลาดน้อย ส่งผลให้ต้องรอคำสั่งซื้อขายนานขึ้น และอาจมีต้นทุนในการทำธุรกรรมสูงกว่า

สภาพคล่อง

สภาพคล่อง (Liquidity) คือการวัดว่าเครื่องมือทางการเงินสามารถแปลงเป็นเงินสดได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพียงใด โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคาตลาดอย่างมีนัยสำคัญ เครื่องมือที่มีสภาพคล่องสูง เช่น พันธบัตรรัฐบาล คู่สกุลเงินหลัก อย่าง EUR/USD หรือหุ้นขนาดใหญ่ (Large-Cap Stocks) ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถซื้อขายได้อย่างรวดเร็วในราคาที่มั่นคง

สภาพคล่องได้รับอิทธิพลจากจำนวนผู้เข้าร่วมตลาด ซึ่งเมื่อมีผู้เข้าร่วมมาก มักจะส่งผลให้สเปรดระหว่างราคาซื้อ-ขายแคบลง และราคามีเสถียรภาพมากขึ้น ในทางกลับกัน เครื่องมือที่มีสภาพคล่องต่ำอาจเกิดช่องว่างของราคาที่กว้าง และผู้ซื้อขายอาจต้องยอมรับราคาที่ไม่ดีที่สุดเพื่อให้การซื้อขายเสร็จสมบูรณ์

ความเสี่ยงและผลตอบแทน

เครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทมีระดับความเสี่ยงและศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้เทรดและนักลงทุนจำเป็นต้องประเมินอย่างรอบคอบ ตัวอย่างเช่น หุ้นและตราสารอนุพันธ์มักให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเนื่องจากความผันผวนของตลาดและปัจจัยที่ไม่แน่นอนอื่น ๆ ในทางตรงกันข้าม เครื่องมืออย่างพันธบัตรรัฐบาลหรือตั๋วเงินคลังมีความเสี่ยงต่ำกว่าและให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า จึงถือเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยมากกว่า

ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนขึ้นอยู่กับมูลค่าพื้นฐานของสินทรัพย์ สภาพตลาด และปัจจัยภายนอก เช่น ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์

การพึ่งพาตลาด

มูลค่าของเครื่องมือทางการเงินถูกกำหนดอย่างมากจากแรงกดดันภายนอกในตลาด เช่น อุปสงค์และอุปทาน ตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาค เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งล้วนมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคา

ตัวอย่างเช่น ราคาน้ำมันในฐานะสินค้าโภคภัณฑ์จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากระดับการผลิตทั่วโลก ความตึงเครียดในภูมิภาคผู้ผลิตน้ำมัน และรูปแบบการบริโภค ในลักษณะเดียวกัน ราคาคู่สกุลเงินในตลาดฟอเร็กซ์ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และนโยบายของธนาคารกลาง

กลุ่มสินทรัพย์หลัก (Major Asset Classes)

กลุ่มสินทรัพย์หลักในตลาดการเทรดหมายถึงหมวดหมู่ของสินทรัพย์ทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันและมีบทบาทเฉพาะในการจัดการพอร์ตการลงทุน กลุ่มสินทรัพย์หลักที่สำคัญ ได้แก่:

ฟอเร็กซ์

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ หรือคู่เงิน คือการซื้อขายคู่สกุลเงิน เช่น EUR/USD หรือ GBP/USD เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมงในวันทำงานของสัปดาห์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำกำไรจากความผันผวนของค่าเงิน หรือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

การเคลื่อนไหวของคู่เงินมักได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายธนาคารกลาง และตัวชี้วัดเศรษฐกิจ

ตราสารทุน

ตราสารทุน หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “หุ้น” คือการถือกรรมสิทธิ์ในบริษัท นักลงทุนสามารถรับผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้น (capital gain) และเงินปันผล โดยทั่วไปหุ้นมีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่สูง

ตัวอย่างเช่น หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Apple, Tesla และ Amazon

พันธบัตร

ตราสารหนี้ หรือพันธบัตร เป็นการให้กู้ยืมเงินแก่รัฐบาล หน่วยงานท้องถิ่น หรือบริษัทเอกชน เพื่อแลกกับดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และเงินต้นเมื่อครบกำหนด พันธบัตรถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่าหุ้น และมักให้รายได้สม่ำเสมอ
ตัวอย่าง: พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US Treasuries), พันธบัตรภาคเอกชน ซึ่งราคามีความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยและความเสี่ยงด้านเครดิต

ดัชนี

ดัชนีแสดงผลการดำเนินงานของกลุ่มหุ้นในตลาดหรืออุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น S&P 500, NASDAQ 100, FTSE 100 นักลงทุนสามารถซื้อขายดัชนีผ่านตราสารอนุพันธ์ (futures, options) หรือกองทุนดัชนี (ETFs) เพื่อเก็งกำไรหรือป้องกันความเสี่ยงในตลาดโดยไม่ต้องซื้อหุ้นรายตัว

สินค้าโภคภัณฑ์

สินค้าโภคภัณฑ์คือวัตถุดิบหรือสินค้าในรูปแบบกายภาพที่มีการซื้อขายในตลาดโลก แบ่งเป็น Hard Commodities เช่น ทองคำ น้ำมันดิบและ Soft Commodities เช่น ข้าวสาลี กาแฟ
เป็นสินทรัพย์ที่สำคัญสำหรับการกระจายความเสี่ยงหรือป้องกันเงินเฟ้อ ราคามักผันผวนตามอุปสงค์-อุปทาน ปัจจัยฤดูกาล และเหตุการณ์โลก

โลหะมีค่า

โลหะมีค่าเป็นกลุ่มย่อยของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ เงิน แพลตตินัม ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเศรษฐกิจไม่แน่นอน

ทองคำ: นิยมใช้ป้องกันเงินเฟ้อและความเสี่ยงจากค่าเงิน เงินและแพลตตินัม: ได้รับอิทธิพลจากความต้องการในอุตสาหกรรมและการลงทุน

คริปโตเคอร์เรนซี

สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Bitcoin และ Ethereum ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการตรวจสอบและบันทึกการทำธุรกรรม มีความผันผวนสูง เทรดได้ตลอด 24/7 และตอบสนองไวต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบหรือกระแสในตลาด

สปอตและตราสารอนุพันธ์

การซื้อขายแบบสปอตและตราสารอนุพันธ์

การซื้อขายแบบสปอต: คือการซื้อขายสินทรัพย์ที่ราคาปัจจุบัน (Spot Price) และส่งมอบทันทีหรือภายในระยะเวลาสั้น ๆ (มักภายใน 2 วันทำการ) เช่น การซื้อทองคำในตลาดสปอตหมายถึงผู้ซื้อเป็นเจ้าของทองจริงหรือสัญญาที่อิงราคาทองในตลาดปัจจุบัน

การซื้อขายตราสารอนุพันธ์: คือตราสารทางการเงินที่มีมูลค่าผูกกับสินทรัพย์อ้างอิง เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี หรือค่าเงิน ตัวอย่างเช่น ฟิวเจอร์ส ออปชัน สวอป และ CFDs (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) ผู้ถือไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยตรง แต่ได้รับผลตอบแทนตามการเคลื่อนไหวของราคา

CFDs of Asset Classes

Contracts for difference, simply CFDs, are financial derivative instruments. It is a contract between an investor or a trader and a broker, where the investor pays the difference in settlement price between the opening and closing of a trade.

CFDs allow traders to speculate on the price of the underlying asset. Traders do not own the underlying assets; they only trade the brokers’ derivative contracts. These derivatives allow traders to take long and short positions, meaning they can benefit from market movements in both bull and bear markets.

These instruments are also versatile, as brokers offer CFDs of various asset classes which are legally permitted. Ultima Markets offer trading services with CFDs of forex, indices, shares, commodities and precious metals.

วิธีเลือกเครื่องมือการเทรดที่เหมาะสมกับคุณ

การเลือกเครื่องมือการเทรดที่เหมาะสม จำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัยที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน ความสามารถในการรับความเสี่ยง และสไตล์การเทรดของคุณ โดยคุณสามารถเริ่มต้นได้ดังนี้:

กำหนดเป้าหมายทางการเงินให้ชัดเจน

ขั้นตอนแรกคือการระบุเป้าหมายของคุณว่า ต้องการอะไรจากการลงทุน เช่น:

• กำไรระยะสั้น: เครื่องมืออย่างคู่เงิน, CFDs หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ มักเหมาะกับผู้ที่ต้องการเก็งกำไรจากความผันผวนและสภาพคล่องของตลาด
• การเติบโตในระยะยาว: หุ้น, พันธบัตร หรือ อสังหาริมทรัพย์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินอย่างมั่นคง
• รายได้ประจำ: การลงทุนใน พันธบัตร, หุ้นที่จ่ายปันผล หรือ อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า อาจเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้ที่แน่นอนสม่ำเสมอ

การเข้าใจระยะเวลาการลงทุน (Time Horizon) และผลตอบแทนที่คาดหวัง จะช่วยให้คุณจำกัดทางเลือกให้แคบลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเมินระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้

เครื่องมือการเทรดแต่ละประเภทมีระดับความเสี่ยงแตกต่างกัน ดังนั้นคุณต้องประเมินว่า “คุณยอมรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน” ก่อนเลือกใช้:

• ความเสี่ยงต่ำ: เหมาะกับ พันธบัตร, หุ้นกลุ่มบลูชิพ, กองทุนรวมดัชนี ซึ่งมีเสถียรภาพมากกว่า
• ความเสี่ยงปานกลาง: อาจเลือกลงทุนใน หุ้นทั่วไป, สินค้าโภคภัณฑ์, หรือ ETFs ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่มีความผันผวนมากขึ้น
• ความเสี่ยงสูง: สำหรับผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง อาจเลือกคู่เงิน, คริปโตเคอร์เรนซี, หรือ ตราสารอนุพันธ์ เช่น ออปชัน และ ฟิวเจอร์ส ซึ่งมีโอกาสทำกำไรสูง แต่ก็มีโอกาสขาดทุนสูงเช่นกัน

พิจารณาระดับความสบายใจของคุณต่อความเสี่ยง และเลือกเครื่องมือที่สอดคล้องกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณ

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความผันผวนของตลาด

ความผันผวนของตลาด (Market Volatility) หมายถึงระดับและความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคาสินทรัพย์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่มองหากำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา ความผันผวนอาจเป็นโอกาส—แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้วยเช่นกัน:

• เครื่องมือที่มีความผันผวนต่ำ: เช่น พันธบัตร และ หุ้นขนาดใหญ่ (Large-Cap Stocks) มักมีความผันผวนของราคาน้อย เหมาะกับนักลงทุนที่เน้นความปลอดภัย
• เครื่องมือที่มีความผันผวนสูง: เช่น ตลาดคู่เงิน และ สินค้าโภคภัณฑ์ มักมีการเปลี่ยนแปลงราคาที่รุนแรง เหมาะกับนักเก็งกำไรระยะสั้น แต่ก็มีความเสี่ยงสูงตามมา

พิจารณาความสามารถของคุณในการรับมือกับตลาดที่ผันผวน และเลือกเครื่องมือที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ของคุณ

พิจารณาสภาพคล่องของสินทรัพย์

สภาพคล่อง คือความง่ายในการซื้อขายสินทรัพย์โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคามากนัก เครื่องมือที่มีสภาพคล่องสูงช่วยให้คุณเข้า/ออกสถานะได้อย่างรวดเร็วและมีต้นทุนน้อยกว่า:

• สภาพคล่องสูง: เช่น ฟอเร็กซ์, หุ้นขนาดใหญ่, ทองคำ หรือ น้ำมัน มักมีปริมาณซื้อขายสูง ทำให้เทรดได้รวดเร็ว
• สภาพคล่องต่ำ: เช่น หุ้นขนาดเล็ก, สินค้าเฉพาะกลุ่ม หรือ อสังหาริมทรัพย์ อาจใช้เวลานานกว่าจะหาผู้ซื้อหรือผู้ขาย และมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า

หากคุณต้องการการดำเนินการที่รวดเร็วและต้นทุนต่ำ ควรเลือกเครื่องมือที่มีสภาพคล่องสูง

ตรวจสอบเงินทุนและความต้องการใช้เลเวอเรจ

เงินทุนที่คุณมีจะส่งผลต่อการเลือกเครื่องมือการเทรด บางเครื่องมืออาจต้องใช้เงินทุนสูง ขณะที่บางประเภทให้คุณใช้ Leverage เพื่อควบคุมมูลค่าสัญญาที่ใหญ่ขึ้น:

• ต้องใช้เงินทุนน้อย: เช่นคู่เงิน, CFDs, และ สินค้าโภคภัณฑ์บางชนิด สามารถใช้มาร์จิ้นในการเปิดสถานะใหญ่ได้ด้วยเงินลงทุนจำนวนน้อย
• ต้องใช้เงินทุนสูง: เช่น หุ้น, อสังหาริมทรัพย์, หรือ สินค้าโภคภัณฑ์บางประเภท อาจต้องใช้เงินสดจำนวนมากในการลงทุน

ประเมินเงินทุนที่คุณมี และพิจารณาว่าคุณต้องการใช้ Leverage หรือไม่ (โปรดจำไว้ว่า Leverage เพิ่มทั้งโอกาสกำไรและความเสี่ยง)

ต้นทุนการเทรดและค่าธรรมเนียม

ควรพิจารณาค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือแต่ละประเภท ซึ่งอาจรวมถึง Spread, คอมมิชชั่น, ค่าธรรมเนียมข้ามคืน, หรือ ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ:

• ต้นทุนต่ำ: เช่นคู่เงิน และ CFDs มักมีต้นทุนการซื้อขายต่ำ แต่มีค่า Swap ข้ามคืนหรือ Spread
• ต้นทุนสูง: เช่น หุ้น หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ อาจมีคอมมิชชั่น, ภาษี, หรือค่าธรรมเนียมจากโบรกเกอร์

การเข้าใจโครงสร้างต้นทุนของสินทรัพย์แต่ละประเภทจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะถ้าคุณเทรดบ่อย

ประเมินความรู้และประสบการณ์ของคุณ

ระดับความเชี่ยวชาญของคุณในตลาดต่าง ๆ มีผลต่อการเลือกเครื่องมือการเทรด เครื่องมือบางประเภทต้องการความเข้าใจเชิงลึกทั้งในด้านเทคนิคและพื้นฐาน:

• เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น: เช่น หุ้น, กองทุน ETF, และ พันธบัตร ซึ่งเข้าใจง่ายและเหมาะกับนักลงทุนทั่วไป
• เหมาะสำหรับนักเทรดขั้นสูง: เช่นคู่เงิน, คริปโตเคอร์เรนซี, ออปชัน, และ ฟิวเจอร์ส ต้องการความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับกลยุทธ์และการจัดการความเสี่ยง

หากคุณเพิ่งเริ่มต้น ควรเริ่มจากเครื่องมือที่เข้าใจง่าย และเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น จึงค่อยขยายไปยังผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

เทรดกับ Ultima Markets

Ultima Markets คือโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งเป็นแพลตฟอร์มการเทรดแบบหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset) ที่เปิดให้เข้าถึงเครื่องมือทางการเงิน CFD กว่า 250 รายการ ซึ่งรวมถึง คู่เงิน, สินค้าโภคภัณฑ์, ดัชนี และหุ้น เราการันตีสเปรดที่แคบและการดำเนินคำสั่งที่รวดเร็ว จนถึงปัจจุบัน เราให้บริการลูกค้าในกว่า 172 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก ด้วยระบบการเทรดที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัย

Ultima Markets ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในปี 2024 โดยคว้ารางวัลอันทรงเกียรติ เช่น รางวัลโบรกเกอร์พันธมิตรยอดเยี่ยม (Best Affiliates Brokerage), รางวัลความปลอดภัยของเงินทุนยอดเยี่ยมจาก Global Forex Awards และรางวัลโบรกเกอร์ CFD ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยอดเยี่ยมจากงาน Traders Fair 2024 ที่ฮ่องกง

Ultima Markets ยังเป็นโบรกเกอร์ CFD รายแรกที่เข้าร่วมในข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะขับเคลื่อนบริการทางการเงินอย่างมีจริยธรรมและยั่งยืน

นอกจากนี้ Ultima Markets ยังเป็นสมาชิกของ The Financial Commission ซึ่งเป็นองค์กรอิสระระดับนานาชาติที่รับผิดชอบในการระงับข้อพิพาทในตลาด Forex และ CFD

ลูกค้าทุกคนของ Ultima Markets ได้รับการคุ้มครองด้วยกรมธรรม์ประกันภัยจาก Willis Towers Watson (WTW) บริษัทนายหน้าประกันภัยระดับโลกที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1828 โดยมีวงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบัญชี

เปิดบัญชีกับ Ultima Markets วันนี้ เพื่อเริ่มต้นการเดินทางในโลกของการเทรดดัชนี CFD อย่างมั่นใจและปลอดภัย